[ แสดงกระทู้ท้งหมด]


กลอนนิยายเรื่อง "ขุนทองคำ" ตอน "ขุนไม้" ฉบับย่อ


รายละเอียด

หลังจากใช้เวลาเขียนมาประมาณ 2 ปีเต็ม "ขุนทองคำ" ตอนแรกคือ "ตอนขุนไม้" ก็เสร็จสิ้น แต่ยังไม่เรียบร้อย เพราะยังต้องแก้ไขอีกเป็นรอบสุดท้าย ซึ่งก็คงอีกประมาณ 1 เดือน

เรื่องนี้เคยนำมาลงในเว็บบอร์ดแห่งนี้ แต่เนื่องจากยังขาดความสมบูรณ์ คือเป็นเพียงฉบับร่างที่ยังไม่ได้แก้ไขใดๆ และเป็นเพียงครึ่งเรื่อง จึงได้นำออกไป

เนื่องจากเป็นกลอนที่มีความยาวมาก ท่านที่ไม่คุ้นเคยกับงานฉันทลักษณ์ประเภทนี้คงยากที่จะอ่านเข้าใจ และอาจเห็นว่ายาวมากจนไม่อยากจะอ่าน ผู้เขียนจึงทำฉบับย่อเป็นร้อยแก้วเพื่อให้ลองอ่านและวิจารณ์กันดู คิดว่าภายในปีนี้ก็น่าจะได้อ่านกันในรูปแบบหนังสือเล่ม

++++++++++++

ขุนทองคำ ตอน ขุนไม้
(เรื่องโดยย่อ)

ลักษณะการประพันธ์ : กลอนนิยายขนาดยาว
จุดเด่น :
1. เนื้อเรื่องที่สนุกสนาน
2. เนื้อหาส่วนหนึ่งเกี่ยวกับหมากรุกเชิงวิชาการ วิจารณ์เกมโดยนักหมากรุกระดับแชมป์ประเทศไทย 3 ท่าน
3. แสดงถึงแนวคิดทางศาสนาพุทธและพราหมณ์ และความเชื่อระดับชาวบ้าน
4. แสดงถึงรูปแบบหลากหลายของความรัก
5. มีรูปแบบเป็นกลอนตลาด ใช้คำร่วมสมัย แยกกลุ่มคำทำให้อ่านและเข้าใจง่าย
สิ่งที่ผู้เขียนคาดหวัง :
1. ผู้อ่านได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลิน
2. ผู้อ่านได้รับความสุนทรีย์ทางอารมณ์จากการอ่าน
3. คนไทยสนใจและอ่านงานเขียนประเภทกลอนหรือร้อยกรองอื่นๆ มากขึ้น
4. มีผู้สนใจกีฬาหมากรุกไทยมากขึ้น
5. ผู้อ่านได้รับทราบแนวคิดทางศาสนาในอีกแง่มุมหนึ่งและสนใจศึกษาเพิ่มเติม
6. ปลุกสำนึกและความภูมิใจในการเป็นคนไทย
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เกริ่นเรื่อง (ร้อยแก้ว)
มีเรื่องเล่ากันว่า นานมาแล้ว เหล่าเทวดาบนสวรรค์ต่างพากันลุ่มหลงเล่นหมากรุกไทยกระทั่งละทิ้งงานที่รับผิดชอบ พระอินทร์เห็นว่าจะเกิดความเสียหาย จึงเสด็จยังวนาสวรรค์ บัญชาห้ามเหล่าเทวดาเล่นหมากรุกและเข้าใกล้วงหมากรุกเป็นเวลา 500 ปี ทรงให้นำตัวขุนของทั้งสองฝ่ายที่มีนับร้อยโกฏิมารวมเหลือเพียง 2 ตัว คือขุนทองคำและขุนเพชร จากนั้นให้ท้าววิศณุกรรมใส่กล่องแยกกันแล้วนำไปไว้ที่โลกมนุษย์ 500 ปีค่อยคืนกลับสวรรค์ให้เหล่าเทวดาได้ใช้เล่นกัน กำหนดว่าให้แต่มนุษย์เท่านั้นที่จะได้เป็นเจ้าของขุนวิเศษโดยขุนทองคำให้เจ้าของต้องเป็นชาย และขุนเพชรเจ้าของต้องเป็นหญิง ซึ่งขุนวิเศษจะทำให้ผู้ครอบครองมีฤทธิ์เดชและคอยช่วยคุ้มครองป้องกันภัย

เกริ่นเรื่อง (ร้อยกรอง)
“.......มีเรื่องเล่ากันว่าบนฟากฟ้า
เหล่าเทวามักมารวมร่วมสังสรรค์
เพื่อเล่นหมากรุกไทยกันทุกวัน
กิจสำคัญใดใดไม่สนใจ
ตัวหมากรุกนั้นเล่าเจ้าข้าเอ๋ย
งามจริงเอยไม่เคยเห็นจากที่ไหน
ฝ่ายหนึ่งเป็นสีทองผ่องยองไย
อีกฝ่ายไซร้ล้วนเป็นเพชรเกล็ดงามตา
องค์อินทร์ผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์
วันหนึ่งพลันอาสน์กระด้างดั่งหินผา
เพ่งสำรวจทั่วไตรภพเพื่อตรวจตรา
ก็รู้ว่าปัญหามีที่ใกล้องค์
เป็นเพราะเหล่าเทวดาละหน้าที่
ที่เคยมีมิได้ทำดังประสงค์
มัวเล่นแต่หมากรุกไทยถ้วนทุกองค์
ปล่อยไว้คงเสียหายหลายโลกา
รีบเสด็จ ณ ลานฟ้าวนาสวรรค์
เทพทุกชั้นต่างคำนับเทวะมหา
ท้าวสักกะตรัสสงสัยเหตุใดนา
จึงได้มารวมกันนานงานไม่ทำ
เทพพิรุณมัวอยู่ไยโลกไร้ฝน
ทั่วแห่งหนทุกข์ทนแล้งไร้ชุ่มฉ่ำ
อาทิตย์จันทร์เมื่อทอดทิ้งงานประจำ
โลกมืดดำครองแต่ทุกข์สุขไม่มี
และคงต้องวุ่นวายไม่สิ้นสุด
เพราะทุกองค์ต่างหยุดทำหน้าที่
เราจะขอแก้ไขในทันที
ต่อแต่นี้ห้ามเข้ามาที่วนาฯ
แล้วทรงเรียกขุนของทั้งสองฝ่าย
มีล้นหลายให้รวมลงที่ตรงหน้า
เหลือเพียงฝ่ายละตัวจากทั่วฟ้า
แล้วเรียกหาองค์เทวาวิศวกรรม
ท่านจงทำกล่องใส่ขุนทั้งสอง
สีให้หมองเมื่อมองให้เห็นขำ
แกะสลักทั้งคู่น้ำทิพย์พรำ
แล้วจงนำออกไปให้ห่างไกล
กำหนดไว้ห้าร้อยปีจงมีผล
ให้ผู้คนครอบครองสองขุนได้
เหล่านางฟ้าเทวาทั้งหลายไซร้
หากเข้าใกล้ต้องสลายจากวิมาน
ผู้ครองขุนตัวทองต้องยอดเยี่ยม
จิตใจต้องเต็มเปี่ยมความกล้าหาญ
ต้องสมบูรณ์ครบถ้วนเป็นชายชาญ
แม้นไม่ใช่ให้อันตรธานไปชั่วคราว
ส่วนผู้ครองขุนเพชรต้องเด็ดเลิศ
งามประเสริฐผมยาวผิวผ่องขาว
ดวงตาต้องสุกสกาวดังแสงดาว
แลพริ้งพราวราวอุมามหาเทวี
บัญชาให้ขุนทั้งสองต้องเกื้อหนุน
คอยค้ำจุนให้ผู้ครองอย่าหมองศรี
อิทธิวิธาให้มีได้แต่พอดี
สองในสี่ข้อนั้นจงมั่นคง
ให้มนุษย์เท่านั้นเล่นหมากรุก
เทพที่เคยซนซุกลุ่มไหลหลง
ห้าร้อยปีห้ามมิให้เทพทุกองค์
เข้าใกล้วงหมากรุกไทยใช่เนิ่นนาน
ครบกำหนดที่พระองค์ทรงตราไว้
จึงค่อยให้สองขุนกลับถิ่นฐาน
ขยายเป็นร้อยโกฏิตัวทั่วกลางลานฯ
ให้เหล่าเทพได้สำราญกันอีกครา……”

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เรื่องย่อ (ร้อยแก้ว) แซมด้วยเนื้อเรื่องบางส่วน (ร้อยกรอง) :

เจ้าแก้ว เป็นเด็กชายอยู่กับนางกิ่งที่เป็นมารดาในชนบททางภาคกลางตอนบนของไทย มีความสามารถในการแก้กลหมากรุกได้อย่างน่าอัศจรรย์ทั้งๆ ที่ไม่เคยเล่นหมากรุกไทยเลย จึงเป็นที่เลื่องลือกันไปไกล

วันที่ 1 (จันทร์)
อาจารย์ทองซึ่งเป็นอดีตแชมป์หมากรุกไทยที่มีชื่อเสียงมากทราบข่าว ได้เดินทางมาหาที่วัดในหมู่บ้านเพื่อพิสูจน์ความสามารถของเจ้าแก้ว ก็พบว่าเด็กน้อยมีความสามารถตามที่ร่ำลือจริง อาจารย์ทองจึงมอบกล่องไม้สลักลายมังกรซึ่งเป็นของเก่ามีค่ามากให้เจ้าแก้ว เมื่อมีผู้ถามว่าในกล่องเป็นขุนทองคำใช่หรือไม่ พระอินทร์ซึ่งแปลงกายลงมาก็เล่าถึงที่มาของขุนทองคำให้ทุกคนได้ฟัง อาจารย์ทองเปิดกล่องให้ดู ก็เห็นกันว่าเป็นเพียงกล่องเปล่าเท่านั้น เจ้าแก้วนำกล่องไม้กลับบ้าน ระหว่างทางมีโจรตามมาเพื่อจะช่วงชิงกล่องไม้ แต่ก็เกิดพายุพัดเหล่าโจรให้ซวนเซ เจ้าแก้วจึงแทรกตัววิ่งหนีพ้นภัยมาได้ และได้พบกับเปรตหลาย เจ้าแก้วเกิดความเวทนาจึงได้แผ่เมตตาและขอมอบผลบุญให้พ้นทุกข์ เปรตหลายจึงสิ้นกรรมเปลี่ยนภพเป็นกุมารทอง เจ้าแก้วกลับถึงบ้านเปิดกล่องไม้ ก็พบว่ามีขุนไม้เก่าๆ อยู่ เมื่อเจ้าแก้วนอนหลับ เจ้าหลายมาเข้าฝันขอเป็นทาสรับใช้เพื่อตอบแทน แต่เจ้าแก้วขอให้เป็นพี่น้องกัน และฝันเห็นต่อไปในอนาคตถึงเวลาสิ้นสุดของขุนทองคำที่กลับคืนสวรรค์และแตกตัวเป็นขุนในกระดานให้เหล่าเทพได้้ใช้เล่นหาความสำราญต่อไป

".....พลันเกิดเสียงกึกก้องกัมปนาท
สายฟ้าฟาดตัวขุนสั่นหวั่นผวา
แตกออกเป็นขุนตัวน้อยเต็มนภา
เทพทุกองค์ต่างพากันชื่นชม
ต่างองค์ต่างรับขุนไว้กันถ้วนทั่ว
ขุนทุกตัวล้วนช่วยพาให้สุขสม
แต่เจ้าแก้วกลับรู้สึกทุกข์ระทม
ได้แต่ก้มหน้าหมองน้ำตานอง...."

วันที่ 2 (อังคาร)
เจ้าแก้วตื่นแต่เช้า ไปวัดหางหงส์เพื่อถวายอาหารแด่หลวงอามหาเสฐียรเจ้าอาวาสวัดที่ป่วย ระหว่างทางต้องผ่านบ้านผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งขู่เข็นให้เจ้าแก้วขายกล่องไม้ให้และต้องนำมาให้ภายในวันนี้ เจ้าแก้วเสนอว่าจะให้ขุนไม้แทน ผู้ใหญ่แววเห็นเป็นเพียงขุนไม้เก่าๆ ก็ขว้างใส่กำแพงจนตัวขุนตกกระจาย เจ้าแก้วได้แต่กอบเอาเศษไม้ใส่กระเป๋า หลวงลุงเล่าว่าขุนไม้นี่คือ ขุนทองคำซึ่งเป็นของวิเศษจากสวรรค์ แต่ที่เห็นเป็นไม้เนื่องจากมาอยู่บนโลกมนุษย์ที่ต้องมีการเกิดและเติบโต ขุนไม้มีฤทธิ์และทำให้เจ้าของคือเจ้าแก้วสามารถแสดงฤทธิ์ได้โดยการเรียกธาตุ 2 ใน 4 ประการ คือน้ำและลม

".....โลกเราล้วนประกอบด้วยธาตุสี่
ดินน้ำมียืนไว้เป็นที่ตั้ง
และลมไฟคือธาตุแห่งพลัง
ทั้งหมดดังร่างกายของจักรวาล
แม้ทุกสิ่งเป็นไปโดยธรรมชาติ
แต่ตัวเจ้าก็อาจจะเรียกขาน
แต่แค่เพียงสองในสี่มาใช้งาน
ลมและน้ำดุจไหว้วานได้ดังใจ....."

แต่เนื่องจากขุนวิเศษอยู่ในวัยเริ่มต้น จึงไม่อาจแสดงฤทธิ์หรือทำให้เจ้าแก้วมีฤทธิ์ได้มาก หลวงอาจึงให้คาถาเรียกน้ำและลมแก่เจ้าแก้ว และบอกใบ้ถึงการซ่อมขุนไม้ เมื่อเจ้าแก้วกลับถึงบ้าน ก็นำเศษขุนไม้ใส่ไว้ในกล่องไม้ตามคำใบ้ของหลวงอา จากนั้นเจ้าแก้วไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนบ้านนาวางจนถึงเย็น ขณะกำลังจะกลับบ้านก็พบกับอาจารย์ใหญ่ซึ่งทราบว่าเจ้าแก้วมีฝีมือทางหมากรุก จึงชวนให้เจ้าแก้วมาเป็นตัวแทนของโรงเรียนเพื่อแข่งกับโรงเรียนวรกมลในวันมะรืน ซึ่งเป็นซ้อมกันก่อนเข้าแข่งขันระดับอำเภอ เจ้าแก้วขอว่าต้องไปขออนุญาตหลวงลุงก่อนเพราะได้เคยห้ามไม่ให้เล่นก่อนอายุ 15 ก่อนกลับบ้านเจ้าแก้วจึงไปแวะที่วัดหางหงส์ ซึ่งมหาเสฐียรได้อนุญาตให้เล่นหมากรุกได้ บังเอิญมีเซียนหมากรุกชื่อสนธิแวะจะมาซ้อมแต้มกับเจ้าอาวาส มหาเสฐียรจึงให้เจ้าแก้วเล่นด้วยเป็นการเริ่มต้น โดยสมภารช่วยวิจารณ์หมากให้เห็นจุดเด่นและจุดด้อยต่างๆ แม้เจ้าแก้วจะไม่มีพื้นฐานและเปิดหมากไม่เป็น แต่ก็ใช้ความสามารถจนชนะได้ในที่สุด เซียนสนธิไม่พอใจตั้งหมากกลท้าให้เจ้าแก้วแก้ มหาเสฐียรเห็นว่ามืดแล้ว จึงขอให้เจ้าแก้วกลับไปคิดและมาบอกวิธีแก้ในตอนเย็นของวันถัดไป แล้วให้ตำราหมากรุกไทยแก่เจ้าแก้วกลับมาศึกษาอีก 2 เล่ม เมื่อเจ้าแก้วกลับถึงบ้านก็พบว่าผู้ใหญ่แววมาดักรออยู่ โชคดีที่เจ้าหลายจำลองกล่องไม้ที่คล้ายคลึงกันแต่จะมีอายุอยู่ได้เพียงหนึ่งวันก็จะสลายให้ผู้ใหญ่ ทำให้ผู้ใหญ่ยอมเลิกราและกลับไป เมื่อเจ้าแก้วเปิดกล่องไม้ก็พบว่าขุนวิเศษประกอบตนสมบูรณ์เช่นเดิม ก่อนนอนก็คิดแก้กลของเซียนสนธิได้ และในคืนนั้น เจ้าแก้วก็เริ่มฝันถึง "นางในฝัน" ที่ทำให้จิตผูกพันเรื่อยมา

"....เห็นหญิงสาวผมยาวผิวขาวผ่อง
ถือคันฉ่องหันหลังอาภรณ์เขียว
เสียดายที่ผันพักตร์มาเพียงแวบเดียว
รู้สึกเสียวแว๊บแปลบทั่วหัวใจ
ตื่นขึ้นมาท้องฟ้าสว่างแจ้ง
เหมือนโดนแกล้งในฝันยังไม่ไปไหน
อยากจะนอนให้ฝันต่อเนื่องไป
เพื่อจะได้เห็นหน้านางในฝัน...."

วันที่ 3 (พุธ)
เจ้าแก้วไปโรงเรียนให้คำตอบว่าหลวงอาอนุญาตให้เริ่มเล่นและเข้าแข่งหมากรุกได้ อาจารย์ใหญ่ให้เจ้าแก้วหยุดเรียนหนึ่งวันเพื่อซ้อมหมากรุก ตกตอนเย็นเจ้าแก้วไปหาสมภารและเซียนสนธิตามนัด และไม่ต้องการหักหน้าเซียนสนธิจึงแกล้งบอกว่าแก้กลไม่ได้ สมภารให้เจ้าแก้วเล่นกับเซียนสนธิอีกหนึ่งกระดานผลปรากฏว่าเสมอกัน หลวงอาให้ตำราหมากรุกเจ้าแก้วเพิ่มอีก 2 เล่ม เมื่อเจ้าแก้วนอนหลับ ก็ฝันเห็น "นางในฝันอีก" ยิ่งทำให้จิตผูกพันยิ่งขึ้น

วันที่ 4 (พฤหัสฯ)
เจ้าแก้วไปโรงเรียนแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวแข่งขัน ต้องตะลึงเมื่อพบว่าคู่แข่งคือ "อุษา" คล้ายนางในฝัน แต่พิจารณาดูแล้วไม่ใช่

"......ไม่เคยคิดว่าจะเจอกันวันนี้
ไม่เคยคิดว่าจะมีนางในฝัน
ไม่เคยคิดว่าจะได้มาพบกัน
ไม่เคยคิดว่าฝันนั้นจะพลันจริง
แต่เมื่อเห็นผิวสดใสปานน้ำผึ้ง
เหตุใดจึงไม่ขาวผ่องสงสัยยิ่ง
คงปักใจเร็วเกินไปน่าติติง
ไม่ใช่หญิงที่ห่วงหายามราตรี......"

ความงามของอุษาทำให้เจ้าแก้วเกิดใจปฎิพัทธ์และว้าวุ่น ทำให้เล่นหมากรุกได้ไม่ดี ผลออกมาจึงเสมอกัน ซึ่งเจ้าแก้วคิดว่าดีที่สุดโดยหวังจะสานสัมพันธ์ต่อ อาจารย์ใหญ่ให้ตั้งชมรมหมากรุกไทยเพื่อเตรียมตัวเข้าแข่งขันโรงเรียนมัธยมระดับอำเภอ เมื่อโรงเรียนเลิก เจ้าแก้วไปหาสมภารเพื่อให้วิจารณ์หมากที่แข่งกับอุษา หลวงอาบอกว่าอาจารย์ทองจะมาเล่นหมากรุกด้วยตอนเย็นของวันรุ่งขึ้น และนัดให้เจ้าแก้วมาหาตอนเลิกเรียน ตกกลางคืน เจ้าแก้วฝันย้อนถึงภพก่อนหน้าที่เป็นมหาเทพ และร่ำลามหาเทวีเพื่ออวตารลงมาปฏิบัติกิจ แต่มหาเทวีระแวงว่ามหาเทพจะไปมีหญิงอื่น จึงสาปให้มหาเทพคลั่งไคล้หลงใหลมหาเทวีที่เป็นนางในฝันตลอดไป และจะตามลงมาอวตารเป็นคู่

".....ข้าจะตามติดไปในไม่ช้า
และจะกลายเป็นปานว่าคู่แข่งขัน
ท่านต้องคิดติดในใจไม่เว้นวัน
ให้ข้าเป็นนางในฝันท่านผู้เดียว...."

วันที่ 5 (ศุกร์)
เจ้าแก้วไปโรงเรียนแต่เช้าดูสถานที่ตั้งชมรมฯ อาจารย์หวังแจ้งว่าจะคัดตัวเพื่อแข่งขันเช้าวันเสาร์ ตกเย็นเจ้าแก้วไปวัดหางหงส์ตามนัด พบอาจารย์ทองพาลูกศิษย์มาสองคน ให้เล่นเป็นการซ้อมก่อนแข่งขัน เจ้าแก้วชนะพันซึ่งเป็นมือรอง แต่แพ้ระนองซึ่งเป็นแชมป์เก่าของอำเภอ สมภารนัดหมายให้เจ้าแก้วมาหาซ้อมแต้มตอนบ่ายของวันรุ่งขึ้น

วันที่ 6 (เสาร์)
เจ้าแก้วไปชมรมแต่เช้าเพื่อร่วมการคัดตัวนักกีฬาและกำหนดตัวทีมทำงานของชมรมฯ ตกบ่ายก็ไปซ้อมแต้มกับสมภาร เจ้าแก้วเรียนเชิญให้หลวงอาเป็นผู้ฝึกสอนให้ชมรมฯ หลวงอาปฏิเสธ แต่จะให้คำแนะนำสมาชิกชมรมฯ ที่วัดสัปดาห์ละครั้ง ในช่วงเย็นของวันเสาร์ เมื่อออกจากวัดเจ้าแก้วยังไม่อยากกลับบ้าน จึงไปที่โรงเรียนอีกรอบ พบอาจารย์หวังอยู่กับนักหมากรุกแปลกหน้าที่มาหาเจ้าแก้ว จึงได้ซ้อมเล่นกันหนึ่งกระดาน เจ้าแก้วเป็นฝ่ายแพ้ นักหมากลึกลับได้ให้ตำราหมากรุกแก่เจ้าแก้วเล่มหนึ่ง เจ้าแก้วกลับไปวัดหางหงส์เล่าให้สมภารฟัง สมภารจึงบอกว่านั่นคือ "หนูเพชร" อดีตสุดยอดนักหมากรุกไทยอีกท่านหนึ่ง และไปค้นเอาตำราของหนูเพชรอีกเล่มหนึ่งมาให้เจ้าแก้ว ระหว่างทางที่เจ้าแก้วเดินทางกลับบ้าน ก็พบกับเหล่ากุมภัณฑ์มารุมล้อมทำให้สิ้นสติไป แต่ด้วยอำนาจของขุนวิเศษทำให้เหล่ากุมภัณฑ์ต้องล่าทัพไปชั่วคราว

วันที่ 7 (อาทิตย์)
เจ้าแก้วไปหาสมภารแต่เช้าเล่าเรื่องที่ประสบเมื่อวันก่อนหน้าให้ฟัง สมภารบอกว่ากุมภัณฑ์เหล่านั้นมาจากแดนใต้ของสวรรค์ เป็นบริวารของท้าวิรุฬหกซึ่งเป็นหนึ่งในสี่จตุโลกบาล โดยมีจุดประสงค์ที่จะได้ขุนไม้ เพราะแม้มนุษย์อยากจะขึ้นสวรรค์เพราะคิดว่าเป็นแดนแห่งสุข แต่ท้าววิรุฬหกกลับเห็นว่าเป็นความไม่แน่นอนเพราะต้องมีการเวียนว่ายตายเกิดและวนอยู่ในบ่วงกรรมไม่สิ้นสุด และมีแต่ภพมนุษย์เท่านั้นที่จะสามารถพัฒนาตนจนพ้นกิเลศทั้งปวงได้ และจากการที่พระอินทร์กำหนดว่าผู้จะครอบครองขุนไม้จะต้องเป็นมนุษย์ ในทางกลับกัน หากเจ้าของขุนวิเศษมอบขุนตัวนี้ให้ผู้ใด ผู้นั้นก็จะกลายสภาพเป็นมนุษย์ จึงเป็นทางลัดที่จะนำพาสู่นิพพานได้ ท้าววิรุฬหก จึงมาหาเจ้าแก้วเพื่อให้เจ้าแก้วมอบขุนวิเศษให้ สมภารเตือนว่าอย่าได้ออกปากมอบขุนนี้ให้ใครเด็ดขาด เจ้าแก้วลากลับทำงานบ้านและคุยกับเจ้าหลาย จากนั้นก็จิตก็เคลิ้มลอยไปสู่แดนใต้ของสวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกา

“......รู้สึกคล้ายล่องลอยถึงแดนสรวง
ผ่านดาวนับล้านดวงในเวหน
เมฆหมอกมีให้เห็นบ้างคละเคล้าปน
กระทั่งจนปรากฏแนวกำแพง
กั้นขวางไว้สูงใหญ่ใสดังแก้ว
ช่างเพริศแพร้วมั่นคงกว่าหินแกร่ง
ที่จะข้ามอย่างไรให้คลางแคลง
จะผาดแผลงฤทธิ์เพียงใดไร้ทางไป....”

เจ้าแก้วพบกับท้าววิรุฬหก ๆ เสนอขอขุนวิเศษ โดยจะแลกกับสิ่งใดก็ได้ที่เจ้าแก้วต้องการ และให้เวลาพิจาณาข้อเสนอ 4 วัน จะไปฟังคำตอบที่บ้านเจ้าแก้ว ตกกลางคืน เจ้าแก้วฝันย้อนกลับไปสู่อดีตภพที่ยังเป็นมหาเทพ

วันที่ 8 (จันทร์)
นางกิ่งปลุกลูกชายขึ้นมาช่วยทำกับข้าวเพื่อตักบาตรในโอกาสที่เจ้าแก้วอายุครบ 15 ปี เจ้าแก้วอุทิศผลบุญให้แด่บิดา และท้าววิรุฬหก ให้บรรลุมรรคผลในภพถัดไป เมื่อไปถึงโรงเรียน อาจารย์ที่ปรึกษาชมรมฯชวนไปโรงเรียนวรกมลที่เป็นสถานที่แข่งขันเพื่อยืนยันการเข้าร่วมและส่งเอกสาร เมื่อไปถึง เจ้าแก้วได้พบกับ "มณี" ซึ่งเป็นฝาแฝด กับอุษา

"......เหล่านักเรียนเริ่มรุ่นสาวราวแตกฝูง
พากันจูงกันไปหน้าตาตื่น
ข้างเจ้าแก้วเริ่มยิ้มหน้าระรื่น
ต้องแอบกลืนน้ำลายร่ายวาจา
ร้องทักว่าอุษาเป็นอย่างไร
สบายดีหรือไม่โปรดบอกหนา
ข้างสาวเจ้าแววขบขันล้นนัยน์ตา
แย้มยิ้มแล้วกล่าวว่าข้าชื่อมณี....."

ซึ่งก็ทำให้เจ้าแก้วต้องใจว้าวุ่น ไม่แน่ใจว่าจะชอบใคร เพราะแม้จะมีใจกับอุษาในเบื้องต้น แต่นางก็ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจ ต่างจากอุษาน้องสาวที่ดูจะใจให้ จากนั้นก็กลับมาที่โรงเรียน จนถึงเย็นก็กลับบ้าน ระหว่างทางพบกับผู้คนเดินสวนมาที่แม้จะมีลักษณะร่างกายต่างกัน แต่ล้วนมีหน้าตาเหมือนกันทั้งสิ้น

"......มีผู้คนเดินสวนบ้างอย่างบางตา
แต่พบว่าล้วนพาให้สับสน
เพราะหน้าตาเหมือนกันไปเสียทุกคน
อย่างชอบกลเครื่องแต่งกายคลับคล้ายกัน
ให้เอะใจเหตุใดเป็นเช่นนี้
เป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาน่าพรึงพรั่น
ยิ่งเริ่มเห็นว่ารายรอบล้วนหมอกควัน
ความหวาดหวั่นยิ่งพลันโถมโหมทับมา....."

หนึ่งในกลุ่มคนประหลาดนั้นคุกคามจะเอากล่องไม้จากเจ้าแก้ว โชคดีที่เจ้าหลายมาช่วยไว้

วันที่ 9 (อังคาร)
เมื่อกลับจากโรงเรียน เจ้าแก้วได้คุยกับเจ้าหลายๆ บอกเกี่ยวกับหุ่นฟางยนต์และวิธีแก้ไขหากเจออีกภายหน้า เจ้าหลายบอกว่าจะทำให้โรงเรียนหยุด 2 วัน เพื่อเตรียมการรับมือกับท้าววิรุฬหก และจะไปปรึกษาพระอินทร์เพื่อหาทางแก้ไขโดยจะกลับมาในวันที่นัดหมายกับท้าววิรุฬหก ตกกลางคืน นางราคาซึ่งเป็นหนึ่งในสามบุตรีของพญามาร ได้มาเข้าฝันหลอกล่อที่จะได้ขุนวิเศษจากเจ้าแก้วไปให้บิดา

".....เมื่อหันมาเห็นเต็มหน้ายิ่งผวา
เป็นอุษาหรือมณีช่างดูเหมือน
ผ่องสกาวพราวตากว่าดาวเดือน
เผลอก้าวเลื่อนเข้าใกล้ได้กลิ่นกาย
ช่างหอมกรุ่นเหลือใจเกินถ่ายถอน
เมื่องามงอนยิ้มมาพาใจหาย
ดังยั่วยวนให้หลงใหลไม่เว้นวาย
ยิ่งเมื่อสายตาของนางทอดวางมา....."

ด้วยเคยได้ยินพญามารกล่าวถึงความปรารถนาว่าต้องการบรรลุมรรคผล เจ้าแก้วเกือบตกหลุมพราง โชคดีที่มีเหตุขวางและสดุ้งตื่นในตอนเช้า

วันที่ 10 (พุธ)
ปรากฏว่าเกิดเหตุเพลิงไหม้อาคารเรียนของโรงเรียนบ้านนาวาง ทางโรงเรียนประกาศหยุดเรียน 2 วัน เมื่อตักบาตรอุทิศผลบุญให้บิดาและท้าววิรุฬหกแล้ว เจ้าแก้วก็ท่องคาถาเรียกลมและฝนประกอบกับการเข้าสมาธิ จนสามารถควบคุมธาตุทั้งสอง เจ้าแก้วสุขอยู่ในสมาธิจนกระทั่งข้ามคืนไปวันใหม่

วันที่ 11 (พฤหัสฯ)
เมื่อออกจากสมาธิ และก้าวออกนอกบ้าน เจ้าแก้วก็พบกับท้าววิรุฬหกและเหล่าบริวาร ท้าววิรุฬหก ทวงขุนไม้ เจ้าแก้วปฏิเสธ มหาเทพอ้างหลักไตรลักษณ์ตีความเข้าข้างตนโน้มน้าวอีกฝ่ายให้ยอมรับ เจ้าแก้วตอบโต้กลับ ท้าววิรุฬหก เห็นยืดเยื้อจึงเสนอให้ประลองหาข้อยุติ เจ้าแก้วเลือกวิธีใช้ลมเป็นอาวุธ หากฝ่ายใดถอยให้เป็นฝ่ายแพ้ และกล่าวหาว่าท้าววิรุฬหกเอาเปรียบที่หากชนะจะได้ขุนไม้ แต่หากแพ้ไม่ต้องเสียอะไรเลย ท้าววิรุฬหกจึงมอบแหวนแห่งกาลเวลาที่สามารถหยุดเวลาหรือพาเจ้าของไปสู่ห้วงเวลาใดก็ได้ให้เจ้าแก้วยึดไว้

".....เป็นของที่เคียงคู่ข้ามาแต่เริ่ม
คงได้เสริมหากเจ้ามีวาสนา
นี่คือแหวนแห่งกาลเวลา
ช่วยนำพาให้ไปได้ดังใจหมาย
จะย้อนไปในอดีตที่ผ่านพ้น
หรือจะร่นเวลาดังยักย้าย
สู่ภายหน้าอนาคตอย่างง่ายดาย
และสุดท้ายใช้ยื้อยุดให้หยุดกาล....."

หากเจ้าแก้วชนะก็จะได้ครอบครองสมบูรณ์ ขณะจะเริ่มต่อสู้ก็ปรากฏร่างพญามารเข้ามาห้าม และเพื่อเป็นการขอโทษที่ธิดาคือนางราคามาหลอกลวงจะเอาขุนวิเศษ จึงมอบดวงตาพญามารที่สามารถมองเห็นความจริงทั้งปวงให้

".....มาราธิราชกล่าวต่ออีกว่า
อันดวงตาพญามารฤทธายิ่ง
ช่วยให้เห็นภาพทั้งปวงอย่างแท้จริง
มิมีสิ่งใดบังตาพาหลงทาง
แม้จะมีเวทย์มนต์คาถาใด
มากั้นไว้ก็จะช่วยสะสาง
ไม่ให้ร่วงหล่นไปในหลุมพราง
ให้เห็นอย่างเด่นชัดถนัดตา...."

พญามารกล่าวว่าขุนวิเศษไม่มีประโยชน์สำหรับตน เพราะในอนาคต ตนเองจะได้เกิดเป็นพระพุทธเจ้า นามว่าพระธรรมสามีอยู่แล้ว

พญามารบอกท้าววิรุฬหกว่าที่หวังจะหลุดพ้นจากกิเลสนั้น ขุนวิเศษก็ไม่มีความจำเป็นเลย เพราะภพถัดไปจะได้เกิดเป็นมนุษย์และบรรลุอรหันต์ แต่ท้าววิรุฬหกไม่เชื่อและเร่งการประลองโดยขอให้พญามารเป็นกรรมการ ก่อนการต่อสู้จะเริ่ม เจ้าหลายนำขุนวิเศษมาให้เจ้าแก้วและบอกว่าต้องอาศัยสิ่งนี้เป็นสำคัญจึงจะพอมีทางสู้ได้ เจ้าแก้วเป็นฝ่ายเริ่มก่อนโดยการใช้คาถาเรียกพายุเข้าใส่ แต่ไม่อาจทำอันตรายคู่ต่อสู้ ท้าววิรุฬหกโต้กลับจนทำให้เจ้าแก้วเกือบพลาดท่า แต่ในท้ายที่สุดด้วยปฏิภาณของเจ้าแก้วและอำนาจของขุนวิเศษก็ทำให้เจ้าแก้วเป็นฝ่ายชนะในที่สุด

และเป็นช่วงที่ขุนไม้ได้เติบโตพัฒนาเป็น “ขุนเงิน”

โดย : รักอย่ารู้คลาย Member - เบอร์ติดต่อ : 08-4111-9368 - [ 30/01/2009, 17:43:58 ]

ความคิดเห็นที่ : 1

อยากตอบว่า ไม่มีที่ติ ก็เกรงพี่จะโกรธ
อยากตอบว่า สูงค่าประโขชน์ จะโกรธไหม
อยากตอบว่า เป็นวรรณกรรม อันเกรียงไกร
อยากจะได้ไวๆ ฉบับสมบูรณ์

น่าสนใจมากๆครับ
ตอนนี้ผมยังไม่เห็นแก่นแท้ของ พุทธ กับไสย เลยครับจึงอยากอ่านฉบับลองพิมพ์ครับ

โดย : ขุนโชคชัย Member   [ 31/01/2009, 01:28:34 ]

ความคิดเห็นที่ : 2

ไร้ที่ติเเต่งออกมาได้สนุกมากครับ

โดย : เซียนพเนจร Member - เบอร์ติดต่อ : 0897553654 -  [ 01/02/2009, 15:22:52 ]

ความคิดเห็นที่ : 3

ขอบคุณเซียนพเนจรและขุนโชคชัยครับ


คำถามที่ถามมาทางอีเมล์ ขอนำมาตอบในที่นี้ส่วนหนึ่ง เพราะอาจมีหลายท่านสงสัยเช่นกัน
บางคำถามขออนุญาตที่จะไม่ตอบ เพราะส่วนใหญ่จะมีคำตอบในตอนต่อไป


1. เรื่องนี้เป็นกลอนทั้งเรื่องใช่หรือไม่?
A : ใช่ครับ เป็นกลอนตลาดที่พยายามใช้คำพื้นๆ ที่คิดว่าจะให้เข้าใจได้ง่าย

2. มีความยาวแค่ไหน ?
A : บอกไม่ได้ว่ากี่คำกลอน ได้ลองพิมพ์ออกมาเป็นกระดาษ A4 เมื่อตอนเขียนได้ราวครึ่งเรื่อง ก็ได้ประมาณ
160 หน้า คิดว่าหากเป็นป๊อคเก็ตบุ๊ค (ขนาด16หน้ายก) ก็คงราว 250 - 400 หน้า

3. นักหมากรุกไทยระดับประเทศได้แก่ท่านใดบ้าง ?
A : ในตอนนี้ มี 3 ท่าน (เรียงตามอาวุโส) คือ อาจารย์นคร ตรีสอาด (เซียนทนาย) อาจารย์วิษุวัต
ธีรภาพไพสิฐ (หนูเพชร) และ อาจารย์อวยชัย กองสี (นกกระจิบ)

4. มีเกมที่วิจารณ์กี่เกม ?
A : รวม 11 เกม โดยแต่ละท่านคัดเลือกและวิจารณ์เกมเอง จากนั้น
ผู้เขียนจะคัดให้เหมาะกับแต่ละช่วงในเรื่อง

5. คิดว่าจะขายได้ไหม ?
A : คำถามนี้เล่นเอาเคืองไปเล็กน้อย ว่าจะให้ไปอยู่กลุ่มคำถามที่ไม่ตอบ
แต่เมื่อตั้งคำถามนี้กับตัวเองก็อึ้งไปเหมือนกัน สรุปว่าคงตอบไม่ได้
คิดว่าหากให้สำนักพิมพ์พิจารณาแล้วผ่าน ก็คงพอขายได้บ้าง (ล่ะน่า )
ก็มีผู้ที่รู้จักหลายท่านทั้งที่ได้อ่านและไม่ได้อ่านเรื่องนี้ บอกว่าจะช่วยอุดหนุนซื้อกัน
ซึ่งผมคิดว่าหากมีแต่คนรู้จักซื้อ สำนักพิมพ์ก็คงร้องไห้เป็นเผาเต่าแน่

6. ทำไมเขียนนิยายเป็นกลอนซึ่งเขียนยากอ่านยาก หากเป็นร้อยแก้วน่าจะอ่านง่ายกว่า?
A : ผู้เขียนไม่เคยเขียนนิยายมาก่อนรู้สึกว่ายากในการใช้คำมาบรรยายฉากหรือลักษณะต่างๆ
คิดว่าหากเป็นร้อยกรองซึ่งจะเป็นการที่ผู้อ่านจะต้องใช้จินตนาการมากกว่า
การเขียนก็อาจย่อหรือข้ามไปในบางส่วนได้ ก็คิดว่ากลอนเป็นฉันทลักษณ์ที่ง่ายและจะเข้าใจกันมากที่สุด
ก็อ่านและหัดเขียนกลอนอยู่หลายปี จนคิดว่าพอจะไหว จึงเริ่มเขียนสะสมมาเรื่อยๆ
อีกเหตุผลหนึ่งคือคิดว่าจะมีความน่าสนใจเพราะแปลกกว่านิยายทั่วไปที่แต่งเป็นร้อยแก้ว

7. ทำไมเขียนกลอนได้เป็นเรื่องยาวๆ ?
A : อ่านกลอนมากๆ ฝึกเขียนมากๆ ฝึกเรื่อยๆ ครับ ไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะต้องเขียนกลอนให้ดีเลิศ
คิดเพียงว่าต้องเขียนให้จบเป็นตอนๆ แล้วนำมาประกอบกัน ทำให้ไม่รู้สึกว่ามากและยากเกินไป

8. จะมีพระพุทธเจ้านามว่าธรรมสามีจริงหรือ ?
A : เป็นความเชื่อว่าจะมีพระพุทธเจ้าอีกหลายพระองค์ในอนาคต เฉพาะ 10 องค์จากนี้ไป รวมเรียกกันว่า
พระอนาคตวงศ์ ซึ่งที่รู้จักกันดีเป็นองค์ถัดไปคือ พระศรีอาริยเมตไตรย และลำดับที่สี่ คือพระธรรมสามี

9. กุมารทองต้องผ่านพิธีกรรมต่างๆ ตามเรื่องขุนช้าง-ขุนแผนไม่ใช่หรือ ?
A : อันนี้เป็นความเชื่อระดับชาวบ้าน ก็มีแตกต่างหลายรูปแบบ
ปัจจุบันหากอยากได้กุมารทองก็แค่เข้าร้านสังฆภัณฑ์หรือวัดบางวัดก็ได้มาแล้ว ในเรื่องนี้
เป็นเพียงภพหนึ่งของเจ้าหลายที่จะให้มาเป็นเพื่อนกับเจ้าแก้ว
คำว่ากุมารทองในที่นี้จึงเป็นคำเรียกสถานะของเจ้าหลาย จึงแตกต่างจากกุมารทองของขุนแผน
ซึ่งความเชื่อระดับชาวบ้านอย่างนี้ ก็มีอีกมากมาย เช่น รัก-ยม และโหงพราย เป็นต้น

10. คาถาเรียกลมเรียกฝนมีจริงหรือ ?
A : อยากให้อ่านเป็นนิยายที่เป็นเรื่องแต่งสนุกๆ โดยอิงกับความเชื่อที่มีมากันครับ
ความจริงในเรื่องจะมีอีกถึงการกำหนดลมหายใจแบบเทวดา ซึ่งเป็นการเพิ่มเติมในการทำสมถสมาธิให้ได้ผลมากขึ้น
ก็อย่าไปสนใจว่าจริงหรือไม่จริง (อย่างน้อยมันเป็นจริงในเรื่องครับ )

ส่วน แหวนแห่งกาล และ ดวงตาพญามาร นี่แต่งขึ้นล้วนๆ ครับ
ในอนาคตเจ้าแก้วต้องอาศัยสองสิ่งนี้ในการตามหาฝัน และใช้ในการเล่นหมากรุกกับคู่ต่อสู้ที่เก่งที่สุด
(ที่ไม่ใช่มนุษย์ !)


หลายคำถามที่ขอไม่ตอบในตอนนี้
เจ้าแก้วคือมหาเทพองค์ใด ? ภารกิจของมหาเทพ(เจ้าแก้ว)คืออะไร ? ทำไมพญามารจึงต้องมาช่วยเจ้าแก้ว ?
ทำไมพญามารจึงมีวิมานอยู่บนสวรรค์ ? ฯลฯ


ขอบคุณครับ

โดย : รักอย่ารู้คลาย Member - เบอร์ติดต่อ : 08-4111-9368 -  [ 10/02/2009, 16:03:07 ]

ความคิดเห็นที่ : 4

โดย : DeKAssumPZ Member   [ 20/09/2009, 18:42:31 ]

ความคิดเห็นที่ : 5

คืออะไรหรอครับ

ขุนทองคำ นรกภูมิ

เกี่ยวอะไรกับหมากรุกไทยหว่า

งง....

โดย : DeKAssumPZ Member   [ 29/09/2009, 12:06:45 ]

ความคิดเห็นที่ : 6

ตอน "นรกภูมิ" เน้นการท่องแดนนรก (แต่ก็ยังมีเรื่องราวของหมากรุกไทยอยู่ต่อเนื่อง)
จับตัวอย่างมาเมื่อท่องนรกครั้งแรก


"..................................

ให้รู้สึกเลือนรางอย่างความฝัน
เสียงสนั่นโหยหวนชวนหวั่นไหว
จะขยับก้าวเดินยากเหลือใจ
ที่ทำได้เพียงลืมตามองหาทาง

เริ่มเห็นหมอกมากมายคล้ายทะเล
สีขาวเทาปนเปดูพรูพร่าง
กระทั่งจนครู่ใหญ่จึงเจือจาง
ที่เลือนรางค่อยเด่นชัดถนัดตา

ปรากฏเป็นเส้นทางหว่างหุบเขา
ดูเงื้อมเงาน่าหวั่นใจเป็นหนักหนา
เจ้าแก้วค่อยก้าวเดินตามมรรคา
ใจผวาอยู่บ้างอย่างหวาดกลัว

เสียงที่กรีดหวีดหวิวปลิวกระจาย
ค่อยผ่อนคลายกลับคล้ายดังฟ้ารั่ว
ปรากฏสายอสนีบาตฟาดระรัว
วูบวาบทั่วท้องฟ้าน่าอัศจรรย์

พร้อมเสียงฝนหล่นจากฟ้ามหาศาล
จนฟังปานจะทลายถึงสวรรค์
แต่เพ่งมองก็ต้องปลาดใจพลัน
พิรุณนั้นมิไหลหล่นจนเม็ดเดียว

เจ้าแก้วเดินต่อไปไม่หยุดยั้ง
แต่ก็ยังคล้ายอีกไกลให้เปล่าเปลี่ยว
เผลอรำพันชีวิตนั้นแปลกจริงเจียว
ไยจึงเลี้ยวมาแดนดังสนธยา

สายฟ้าเริ่มเบาลงจนคงที่
ปานว่าไม่เคยมีบนแผ่นฟ้า
คงไว้แต่เสียงฝนร่วงหล่นมา
แต่เหลียวหาเพียงใดก็ไม่มี

จนก้าวพ้นหุบเขาแนวยาวเหยียด
ยอดสูงเบียดผืนฟ้าดูเสียดสี
ทางเบื้องหน้าครานี้ไม่มีดี
ทุกถิ่นที่ดินแห้งแล้งแตกระแหง

มีฝุ่นผงปลิวปรายกระจายบ้าง
ดูเวิ้งว้างลี้ลับอย่างอับแสง
พอแลเห็นทุกสิ่งเป็นสีแดง
ที่ปนแฝงคือสีเทากับเงาดำ

เสียงสายฝนค่อยจางลงจนเลือนหาย
เป็นดังคล้ายไม่เคยมีดูน่าขำ
กลับมีเสียงผู้คนบ่นพึมพำ
ปนเสียงคร่ำครวญครางอย่างน่ากลัว

เจ้าแก้วคิดว่านี่หรือคือนรก
ช่างตลกแหล่งแห้งแล้งแลสลัว
มิได้มีสัตว์นรกแม้สักตัว
เป็นเรื่องมั่วหรือไรที่เล่ามา

ผู้ที่ต้องตกนรกจนหมกไหม้
ย่อมจะได้รับแต่โทษอย่างหนักหนา
พบแต่ความทุกข์ร้อนตลอดเวลา
วิบากกรรมชั่วช้าพาให้ตรม

กลับมีเพียงสำเนียงคล้ายเพียงฝัน
ทุกสิ่งนั้นล้วนพาลพาให้ขื่นขม
เหลียวทางใดไม่อาจพรากจากระทม
ต้องดิ่งจมกับความกลัวอย่างทั่วสกนธ์

ไม่เห็นมีชีวิตใดในที่นี้
ย่อมบ่งชี้คำตอบเคยฉงน
ว่านรกที่เล่ากันนั้นชอบกล
เมื่อมายลล้วนอ้างว้างร้างชีวี

เล่ากันถึงพระยายมผู้เป็นใหญ่
หาเท่าใดก็ไม่เห็นในที่นี้
อีกทั้งนิรยบาลก็ไม่มี
ไร้ทั้งผีสัตว์นรกหมกอบาย

คงเป็นเพียงเรื่องเล่ากันมานาน
เป็นนิทานที่มีจุดมุ่งหมาย
ให้ผู้คนได้เชื่อไว้ไม่เว้นวาย
ว่าเมื่อตายต้องใช้กรรมที่ทำกัน

............................"

โดย : รักอย่ารู้คลาย Member   [ 08/10/2009, 13:05:43 ]

  ถังน้ำพลาสติก
  E-mail: webmaster@thaibg.com
Copyright 2002-2024 ThaiBG.com, All Rights Reserved